
โรงงานหลายแห่งในอุตสาหกรรมยาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“ระบบที่เราใช้ตอนนี้…ยังตอบโจทย์อยู่ไหม?”
คำถามนี้ GPO (องค์การเภสัชกรรม) เองก็เคยถามตัวเองเช่นกัน
เพราะเมื่อความต้องการของระบบสาธารณสุขเปลี่ยนเร็วขึ้น ความคาดหวังด้านคุณภาพสูงขึ้น และแรงกดดันด้านต้นทุนมีทุกปี การจะยืนระยะได้ในระยะยาวไม่ใช่แค่ผลิตให้ได้ แต่ต้อง ผลิตให้ได้ “อย่างแม่นยำ” และ “ไม่สูญเสีย”
GPO จึงเริ่มต้นแผนปรับไลน์ผลิตให้รองรับเครื่องจักรอัตโนมัติเต็มระบบ เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง — ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ล่วงหน้าไปอีกหลายปี
วันนี้เราจะพาคุณย้อนดูเบื้องหลังการปรับระบบของ GPO ว่าพวกเขาเริ่มจากอะไร เจอปัญหาแบบไหน ใช้แนวคิดอะไรในการวางผังเครื่องใหม่ และผลลัพธ์หลังการเปลี่ยนแปลงเกิดอะไรขึ้นจริงบ้าง
ปัญหาที่ GPO เจอจากระบบเดิม

ก่อนจะก้าวสู่ระบบอัตโนมัติ GPO เองก็มีจุดอ่อนในไลน์ผลิตที่หลายโรงงานน่าจะคุ้นเคย:
1. ผลิตไม่ทันเวลาที่ต้องการ
ระบบเดิมยังอาศัยแรงงานคนในหลายจุด ทำให้การผลิตแต่ละล็อตกินเวลาเกินจำเป็น และถ้าคำสั่งผลิตหลายรายการมาติดกัน จะเริ่มเกิด “คอขวด” ที่ทำให้บางล็อตต้องเลื่อนออกไป
2. ของเสียจากกระบวนการสูงเกินควร
เครื่องกึ่งอัตโนมัติทำให้คุณภาพขึ้นอยู่กับฝีมือคน ถ้าใครเหนื่อยล้า หรือเผลอวางผิดตำแหน่ง ก็เกิดปัญหาอย่าง:
- เม็ดยาหลุด QC
- แพ็คบิด
- ติดฉลากผิด
- หรือใส่กล่องไม่ตรงตำแหน่ง
3. ใช้พื้นที่ไม่คุ้ม และเดินวัสดุซ้ำซ้อน
บางไลน์มีเครื่องจักรวางขัดกัน ทำให้ต้องวนเส้นทางหรือแบกวัสดุกลับไปมา
พื้นที่จริงที่ควรจะเหลือใช้ กลับกลายเป็นจุดอับ หรือทางตัน
4. ไม่มีข้อมูลย้อนกลับ
ในระบบเดิม หลายขั้นตอนไม่มี Log หรือ Audit Trail
ถ้าเจอปัญหากับเม็ดยาหรือกล่องบางล็อต ต้องใช้เวลาไล่เช็กย้อนหลังหลายชั่วโมง บางครั้งยังหาสาเหตุไม่เจอด้วยซ้ำ
วิธีคิดใหม่ในการวางผังไลน์ผลิต
GPO ไม่ได้เริ่มที่ “ซื้อเครื่องใหม่”
แต่เริ่มจาก “เข้าใจไลน์ผลิตของตัวเองให้ดีพอ”
เริ่มจากพื้นที่จริง ไม่ใช่แค่ดูแปลน
ก่อนจะออกแบบ ทีมเข้าไปวัดหน้างานจริงทุกมุม ทั้งความกว้าง ความสูง เพดาน ช่องประตู ความลาดของพื้น ไปจนถึงการเชื่อมไฟ อากาศ และ Utility GPO rama 6 & klong10
สิ่งนี้ทำให้การเลือกเครื่องจักรไม่ใช่แค่ “ดูจากสเปก” แต่ “ดูจากความเป็นไปได้จริง”
ปรับ Flow ให้วัสดุเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ

ไม่วน ไม่ขวาง ไม่ย้อน
จากเม็ดยาที่ออกจากเครื่อง → ผ่านเครื่องตรวจน้ำหนัก → บรรจุกล่อง → ติดฉลาก → เข้าเครื่องจัดเรียงกล่องอัตโนมัติ
ทุกอย่างเดินทางในทิศทางเดียวต่อเนื่อง
Utility พร้อมเชื่อมต่อทุกระบบ
เดินไฟ เดินลม เดินข้อมูล พร้อมเผื่อไว้ล่วงหน้า
ไม่ต้องรื้อ ไม่ต้องต่อเพิ่มเมื่อถึงเวลาติดตั้ง
เผื่อไว้สำหรับขยายในอนาคต
ไม่ใช่แค่ติดตั้งให้ “พอดีวันนี้”
แต่เผื่อช่องไว้ให้ “พร้อมโตวันข้างหน้า”
ทั้งทางเดิน Maintenance, ช่องเสียบเครื่องเพิ่ม และ Interface ที่รองรับเครื่องรุ่นใหม่
เครื่องจักรที่เลือกใช้ในโปรเจกต์นี้
GPO เลือกใช้เครื่องอัตโนมัติที่ครอบคลุมตั้งแต่การอัดเม็ดจนถึงบรรจุขั้นสุดท้าย
Bergami K15 – เครื่องจัดเรียงกล่องอัตโนมัติ (Case Packer)

- จัดกล่องได้ 15 กล่อง/นาที
- มี Sensor ตรวจว่ากล่องอยู่ตำแหน่งไหม, ฝาปิดสนิทไหม, เทปติดเรียบร้อยไหม
- ถ้าไม่ผ่าน → แยกออกทันที
- มีหน้าจอสัมผัส (HMI) ที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบ Audit TrailBergami_K15_Sales_Prese…
PZ-1500 – เครื่องอัดเม็ดแบบความเร็วสูง

- อัดได้สูงสุด 198,000 เม็ด/ชั่วโมง
- มีระบบ FIT Software วิเคราะห์แรงอัดแบบ Real-time
- เปลี่ยน Turret ง่าย ใช้คนเดียวก็ทำได้
- ลดโอกาสเม็ดแตก / ร่วน / น้ำหนักเพี้ยน ได้มาก PZ-1500
ระบบ Reject อัตโนมัติ + Vision System
- ตรวจทุกชิ้น ไม่ต้องสุ่ม
- ข้อมูลบันทึกอัตโนมัติ
- ถ้าเจอข้อผิดพลาด ระบบจะหยุดเฉพาะจุดนั้น ไม่ต้องหยุดทั้งไลน์
ผลลัพธ์ที่ได้หลังติดตั้งเครื่องใหม่
หลังจากเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติ GPO เห็นผลลัพธ์แบบที่วัดผลได้จริง:
เพิ่มกำลังผลิตเฉลี่ย +40–60%
โดยไม่ต้องเพิ่มคน และไม่ต้องเพิ่มกะ
ลดของเสียลงกว่า 50%
เพราะป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ตรวจทุกขั้นตอน และไม่ปล่อยให้ปัญหาสะสม
ตรวจสอบย้อนหลังง่ายมาก
Audit มาเมื่อไหร่ ไม่ต้องเปิดแฟ้ม แค่คลิกดู Log ก็เจอทุกอย่างครบ
เปลี่ยนสูตรหรือขนาด = ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที
ไม่มีรื้อ ไม่มีหยุดนาน ทำให้วางแผนการผลิตต่อเนื่องได้ดีขึ้นมาก
สรุป: เปลี่ยนไลน์ให้เวิร์ก ต้องเริ่มจาก “แผน” ไม่ใช่ “เครื่อง”
สิ่งที่ GPO พิสูจน์ให้เห็นคือ…
การจะเปลี่ยนผ่านจากระบบเดิมไปสู่ระบบอัตโนมัติที่เวิร์กจริง
ไม่ใช่แค่การซื้อเครื่องที่ “ดีที่สุด”
แต่คือการร่วมวางแผนกับทีมเทคนิคตั้งแต่แรก
เข้าใจพื้นที่ เข้าใจ Flow และมองภาพให้ครบทั้งระบบ
เมื่อเครื่อง “เข้ากับงาน” และ “เข้ากับพื้นที่”
ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เครื่องเริ่มเดิน
Leave a Reply